วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ที่มีคุณค่า


เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมแล้ว มีโอกาสมาสอบแข่งขันเข้าเป็นนักเรียนจ่าสื่อสารทหารเรือสมใจนึก สำหรับชีวิตที่อยากเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แล้วได้เป็นตามความตั้งใจ รับราชการมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี นานพอสมควรสำหรับการทำงานในชีวิตราชการ มากพอสำหรับการได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ทำไมหนอ ชีวิตการรับราชการของผมยังไม่ก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ นั่งคิดกลับไปกลับมาในสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่ตนเองได้ไปพบกับอาชีพงานขายประกันชีวิตมาแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่างานขายประกันชีวิต เป็นงานแห่งโอกาส ในการสร้างรายได้และความก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นตอนและมึความสามารถกำหนดอนาคตได้ คนอื่นๆทำไมเขาจึงทำกันได้มากมาย แต่ทำไมนะคนอีกจำนวนหนึ่ง ทำกันไม่ได้ แล้วก็รวมมาถึงตัวเราด้วย ที่ฝ่าด่านความยากลำบากในงานขายเดินต่อไปไม่ได้ เริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า ผมควรจะรับราชการต่อไปอีกหรือไม่ หรือควรที่จะผันตนเองไปเป็นนักขายประกันชีวิต เริ่มสำรวจตรวจสอบเพื่อนฝูงที่เคยรับราชการด้วยกันมา 



           มีหลายคนเติบโตด้านยศ ตำแหน่ง เป็นเพราะพวกเขามีความขยันหมั่นเพียรและเอาใจใส่ในการทำงาน ส่วนผมมีความใส่ใจกับความสนุกสนานต่อการใช้ชีวิต ตามหลักนิยมของหมู่นักแสวงหาความสุขทั้งหลายที่กล่าวว่า "รัศมีการกินไกล รายได้ต่ำ รสนิยมสูง" มีหลายคนที่ตั้งใจก้าวไปข้างหน้าผันตัวเองไปอยู่หน่วยงานราชการอื่น บ้างก็ไปทำงานเกี่ยวกับการเดินเรือต่างประเทศ ด้วยมีความรู้ ความสามารถทางด้านภาษาดี เมื่อมองย้อนหันกลับมาดูตนเอง ยังขาดปัจจัยต่างๆอีกมากมายทั้งเรื่องความรู้ที่จะไปต่อสู้ชิงชัยกับเขาหากมีการแข่งขัน ภาษาที่ตนเองยังอ่อนด้อย เมื่อย้อนหลังกลับไปทบทวนอดีต ทำให้หวนนึกไปถึงตอนสมัยเรียน พอถึงชั่วโมงภาษาอังกฤษต้องโดดเรียนประจำ นี่แหละครับบทเรียนที่ธรรมชาติเริ่มลงโทษ เมื่อรักสนุกก็ต้องทุกข์ถนัด ความสนุกกับหมู่เพื่อนในวันนั้น เป็นความติดขัดกับความเจริญในวันนี้ แต่เอาละ ชีวิตที่ผ่านมาผมก็ต้องยอมรับและเต็มใจในผลของมัน เพราะตัวเราล้วนเป็นผู้ก่อขึ้นมาทั้งสิ้น

ตอนปลายปี 2531 มีหลายครั้งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมสัมนากับเครือชุมทอง 24 ยู เจอคนหลากหลายอาชีพที่ได้พบปะ พูดคุย บางคนดูท่าทางจะมีความสำเร็จในงานนี้ บางคนได้แลกเปลี่ยนความคิดกับผมในหลายๆแง่มุม อาทิเช่น "พี่ตุ๋มลองคิดดูนะ ถ้าพี่ตุ๋มรับราชการจากวันนี้ไปถึงวันเกษียณ พี่ตุ๋มมีเงินเดือนปัจจุบันเดือนละเท่าไร ลองนำมาคูณจำนวนเดือน ทบไปตามจำนวนปี ลองดูซิครับ หากมีการปรับเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เงินที่พี่ตุ๋มจะได้รับ บวก บวกกันเข้าไปแล้วเอาไปรวมกับสวัสดิการอื่นๆ เช่นค่าเทอมของลูกที่เบิกได้ ค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ลูกเมียที่จะเบิกได้ ลองรวมเป็นเงินเท่าไหร่ ลองเอาไปคิดต่อ หลังเกษียณอายุแล้วพี่ตุ๋มจะมีอายุยืนยาวไปอีกกี่ปี ได้เงินเบี้ยหวัด บำนาญ รวมแล้วเป็นเงินเท่าไหร่? แต่ถ้าพี่ตุ๋มมาลองใช้ชีวิตทำงานที่นี่ ผมเชื่อว่าพี่ตุ๋มจะทำได้มากกว่านี้นะ....."   "....แหม...ผมคิดในใจ ชิชะนี่คิดจะหว่านล้อมชวนเราให้ลาออกซะงั้น ฝันไปเถอะ....อย่ามายุ่งกับเรา"



เป็นธรรมชาติของมนุษย์จริงๆ ครับ ที่ทุกคนจะต้องรักและหวงแหนสิ่งที่ตนเองมีอยู่ โดยเฉพาะรายได้ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดในสังคม โดยส่วนตัวของผม ต้องขอบอกตามตรงว่า ยังไม่เชื่อคำพูดใดๆ ที่ใครพากันมาพูดคุยด้วย ยังไม่คิดจะลาออก เพราะตนเองยังไม่มีความสามารถที่จะทำงานนี้ได้ ผมคิดว่าเป็นงานที่มีความยากน่าดู แต่ก็เป็นงานที่ท้าทายความสามารถ แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน ผมไม่เคยหยุดยั้งความคิดของผมที่จะทบทวนเรื่องราวต่างๆของตนเอง วันนี้เรากำลังทำอะไร อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง แล้วในอนาคตล่ะ ผมควรจะเดินไปข้างหน้าในทิศทางไหน ...หนังสือที่ท่านอ่าน กับคนที่ท่านพบ ในเวลา 5 ปีจะทำให้ท่านเปลี่ยนไป ผมเชื่อว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริง และผมเป็นคนโชคดีที่มีคุณพ่อเป็นต้นแบบของการเป็นนักอ่าน หนังสือในตู้หนังสือของคุณพ่อมีขนาดใหญ่ 2 หลังเต็มไปด้วยหนังสือดีมีคุณค่ามากมาย ที่พ่อเพียรพยายามให้ผมอ่านอยู่บ่อยๆ และหนังสืองานขาย "การเดินตลาดที่ได้ผล 100%" ของแฟรงค์ เบตเยอร์ ก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่พ่อมอบให้กับผมตั้งแต่รู้ว่าผมอยากขายประกันชีวิต พ่อบอกว่า "พ่อใช้หลักการของการเดินตลาดของแฟรงค์ เบตเยอร์ เป็นแสงสว่างในการนำทางด้านการขายประกันชีวิต" ใช่แล้วครับพ่อของผมเป็นยอดนักขายท่านหนึ่งในงานขายประกันชีวิตของบริษัทหนึ่งในอดีต พ่อได้เคยเขียนบทความมากมายไว้ในหนังสือและวารสารของบริษัทแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และผมได้มีโอกาสอ่านบทความเกี่ยวกับการตอบข้อโต้แย้ง รวมทั้งเส้นทางการทำงานขายของพ่อ (น่าเสียดาย ที่หนังสือที่เก็บไว้ในกล่อง ถูกปลวกกินจนไม่สามารถนำมาเก็บรักษาได้)



หนังสือเล่มนั้น"การเดินตลาดที่ได้ผล100%" อยู่กับผมตลอดเวลา สำหรับการเดินทางออกไปลาดตระเวณในท้องทะเลอ่าวไทย ระหว่างการปฎิบัติราชการชายแดน ด้านจันทบุรี-ตราด ผมอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เริ่มเห็นข้อผิดพลาดของตนเองทีละเล็ก ทีละน้อย ด้วยเหตุที่ตนเองมีนิสัยรักการเขียนเป็นทุนเดิม จึงเริ่มแยกแยะประเด็นต่างๆ มาเป็นหมวดหมู่ เขียนไว้ในสมุดปกอ่อนอีกเล่มหนึ่ง ที่ทุกครั้งได้อ่านข้อความสำคัญๆโดนใจ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไป และได้ใช้ในวันข้างหน้า แล้วผมก็เริ่มสะสมบทความจากหนังสือหลายเล่ม ทั้งจากหนังสือของอาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์บ้าง จากหนังสือแนวทางการขายด้านอื่นๆ บ้าง รวมทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ ความรู้ทั่วไป ผมอ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน จด จด จด แล้วก็จำ ปลุกจิตสำนึกของตนเองให้มีความรู้สึกกล้าหาญ กล้าที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในวันข้างหน้า เพราะตนเองมีความรู้สึกตลอดเวลาว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่านี้อีกแล้ว ในการใช้ชีวิตการเป็นทหารถูกปลุกเร้าจิตวิญญาณมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนทหารตลอดเวลาว่า "ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร" "ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่" "ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างผู้แพ้"..ฯลฯ และผมเองเคยมีโอกาสเฉียดความตายในบางครั้ง ตอนที่ได้ไปปฏิบัติราชการชายแดน .... เอาละครับ การปลุกจิตสำนึกให้มีความกล้าหาญ การสร้างความกล้าที่จะเริ่มต้นท้าทายกับชีวิตของตนเองในการเผชิญกับความผิดหวังต่องานขายประกันชีวิต ผมเริ่มเข้าใจ ผมเริ่มยอมรับ ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเอง ......ถูกแล้วครับ ผมกำลังจะบอกกับทุกท่านว่า "ผมจะตัดสินใจลาออกจากการรับราชการทหาร เพื่อเดินทางเข้าสู่อาชีพใหม่ ตัวแทนขายประกันชีวิต ผมเลือกที่จะลิขิตชีวิตของผมเอง ด้วยน้ำมือของผม พร้อมที่จะเขียนชีวิตของผมขึ้นมา สร้างตำนานหน้าใหม่ให้เกิดขึ้น ผมพร้อมแล้วที่จะเดินไปข้างหน้า

"ก้าวเข้ามา อย่างทะนง และองอาจ


ใช่ขี้ขลาด ตาขาว เราทหาร

หาความรู้ นำไป เพื่อใช้งาน


ขายหลักฐาน การประกัน อันมั่นคง"



        ผมตัดสินใจกลับมาสอบความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2533 แต่ยังไม่ออกรหัสตัวแทน ด้วยเกรงว่าจะเสียค่าธรรมเนียม 2 ครั้ง จึงประวิงเวลามาออกรหัสในเดือนมกราคม และได้รหัสอย่างเป็นทางการ 31 มกราคม 2534 เป็นก้าวแรกสำหรับการเริ่มเดินทางในอาชีพการเป็นนักขายอย่างเต็มรูปแบบ ชีวิตการเป็นตัวแทนพาร์ทไทม์ในปีแรก สามารถสร้างผลงานได้ 25 รายประกันชีวิต ค่านายหน้า 68,265 บาท ไม่โดดเด่น ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เป็นท๊อปของยอดนักขาย แต่เป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของลูกผู้ชายชาติทหารคนหนึ่งที่ดีใจว่าตนเองทำได้ แล้วชีวิตการเป็นนักขายของผมก็เริ่มเรียนรู้มากขึ้น กิจวัตรประจำเดือนของผมที่รักจะปฏิบัติคือการเข้าร้านขายหนังสือ เพื่อเลือกหาหนังสือเกี่ยวกับงานขาย เคล็ดลับและวิธีการต่างๆ หนังสือการสร้างแรงบันดาลใจ แนวคิดสร้างเสริมพลังต่างๆ ผมเลือกที่จะซื้อ และใช้เวลาจำนวนมากกับการอ่าน จด และจำ พร้อมนำไปใช้จริงในสถานการณ์แต่ละวัน หนังสือที่เราอ่าน....ใช่แล้ว เราได้อ่านหนังสือจำนวนมาก กับคนที่ท่านพบ...จะทำให้เราเปลี่ยนไป และช่วงเวลาสำคัญของชีวิตก็มาถึง ในการเข้าร่วมสัมนาหลักสูตรของคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ และอาจารย์มงคล ศิริพัลลภ ที่พัทยา เป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม เขาเรียกรุ่นนี้ว่าเป็นรุ่น "ล้างป่าช้า" ผมมีโอกาสได้พบกับผู้คนมากมาย รวมทั้งสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่ผมได้นั่งเรียนใกล้ ๆ ช่วยเขาคิดตัวเลขที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะตอนคิดเงินเดือน Career Benefit พวกเราในชั้นเรียนจะนำตัวเลขจริงที่ขายได้ในปีที่ผ่านมา ใส่ตัวเลขในช่องการทำงานจริงในปีที่หนึ่ง แล้วเริ่มคำนวณว่าเราจะได้รับเงินเดือนในปีถัดไปเท่าไหร่ ผมจะคิดในส่วนของผมก่อน แล้วก็เริ่มไปช่วยเหลือคนที่นั่งใกล้เคียงกับผม คุณปรีชา จ้อยสูงเนิน และคุณวาสนา พุ่มมั่น อย่างที่บอกครับผมขายได้ 25 ราย มีรายได้ 68,265 บาท ผมก็มีความภูมิใจในผลงานของผมแล้ว เพราะผลงานทั้งหมดมาจากความสามารถอันยิ่งใหญ่ของผมมิใช่หรือ แต่ว่าของเธอ....ขายได้ 8 ราย มีรายได้ 81,050 บาท ...อะไรกันนี่...เธอขายนิดเดียว ทำไมมีรายได้มากกว่าผม ผมอึ้ง..แต่ต้องเก็บอาการไว้ เริ่มใช้ช่วงจังหวะเวลาว่างที่มีสัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำงาน และเบี้ยประกันต่อรายที่เธอได้นำเสนอขายให้กับลูกค้า

หลังผ่านการสัมนาครั้งนั้น คำพูดในการขายของผมใหญ่ขึ้น พบลูกค้ามากขึ้น ผมเตรียมยื่นเรื่องการลาออกจากทางราชการ ผมกำลังจะเป็นฟูลไทม์ ผมเริ่มปฏิญาณกับตนเองว่า ในชีวิตที่ผ่านมา เราได้ปล่อยเวลาไปอย่างไม่มีคุณค่า เรายังไม่ได้สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับชีวิตสักที ถึงเวลาแล้วใช่ไหม ที่เราจะต้องปฏิวัติชีวิตของเราอย่างหนัก แบบถึงขั้นรุนแรงก็ว่าได้ ผมตัดสินใจเลิกการดื่มเหล้า ทั้งๆที่ในอดีตที่ผ่านมา ผมมีความลุ่มหลงเจ้าน้ำสีอำพันมาอย่างยาวนานก็ตาม ผมบอกกับตัวเองว่า จากวันนี้ไปจะไม่ดื่มเหล้า จนกว่าจะพบกับความสำเร็จในการเป็นผู้บริหารหน่วย โดยปักธงไว้ในใจว่าวันที่ 1 ธันวาคม 2536 ต้องเป็นผู้บริหารหน่วยให้ได้ จะงดเหล้าและไม่ดื่มเด็ดขาด ผมตัดสินใจเลิกการสูบบุหรี่ เพราะค้นพบว่าทุกครั้งที่อยู่กับลูกค้า ลูกค้าเห็นว่าเราพกบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อมาด้วย ระหว่างการพูดคุยกันเป็นเวลานาน ก็จะบอกกับเราว่า อยากสูบบุหรี่ก็ได้นะ ซึ่งเราก็โล่งใจว่าลูกค้าคงไม่รังเกียจ เมื่อเราหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบและปล่อยควันไปข้างๆ เริ่มสังเกตุว่าลูกค้าก็เอียงตัวหลบควันบุหรี่บ้างในบางครั้ง และเมื่อมีการประชุมกับบริษัท มีห้องแคบๆไว้รองรับพวกเราที่มีความเสน่หาในเปลวควัน ที่พวกเราพอใจในการสร้างความสุนทรีย์ให้กับอารมณ์ของผู้เสพ แต่ไม่พึงปรารถนาต่อคนกลุ่มใหญ่ ในอดีตที่ผ่านมาผมเคยตัดสินใจที่จะเลิกสูบบุหรี่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยทำได้ ทันทีที่เปลี่ยนความคิดว่า เรากำลังทำเพื่อคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเรา และเรากำลังทำเพื่อความสำเร็จของตัวเราในวันข้างหน้าที่กำลังรอเราอยู่ด้วย ผมจึงตัดสินใจครั้งสุดท้ายในการยกบุหรี่ออกจากกระเป๋า เพียงเท่านี้ชีวิตที่ติดบุหรี่ของผมตั้งแต่หัดสูบตอนอยู่ ป.4 และมาสูบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มัธยมจนสอบเข้าเป็นทหารเรือ รวมเวลาตลอดการรับราชการเป็นระยะเวลา 15 ปี เจ้าบุหรี่ควันพิษที่ผมได้ค้นพบและยอมรับว่าไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการและมีความปรารถนาอีกต่อไป ก็อันตรธานไปจากชีวิตของผมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผมเลิกเล่นการพนันเพราะผมมีความเชื่อว่าภาพพจน์ในสายตาของผู้ที่กำลังมองเราอยู่ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน หลายๆอย่างที่ผมได้ตัดสินใจ กำลังนำไปสู่การกระทำ ผมพบลูกค้าตามคำแนะนำจากผู้จัดการคนเก่งของผม คุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ อย่างน้อย 5 คนต่อวัน บางวัน 8 คน 10 คน 12 คนแล้วแต่โอกาสจะอำนวย สิ่งที่ผมยอมไม่ได้ และไม่เคยยอม ผู้หญิงเก่งคนนั้น คุณวาสนา พุ่มมั่น เธอมีงานมาส่งและเล่าเคสให้พวกเราได้ฟังทุกบ่ายวันเสาร์ในการประชุมเครือชุมทอง 24 ยู ส่วนตัวของผมต้องมีให้ได้เช่นกัน เพื่อที่จะมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง บางครั้งส่ง 1 รายบ้าง 2 รายบ้าง ผมไม่ยอมแพ้และก็พบว่าเธอก็คงไม่ยอมเช่นกัน ทำให้พวกเรามีงานส่งเข้าสำนักงานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง สมัยนั้นไม่มีการสื่อสารที่ดี ไม่มีโฟนลิ้งค์ ไม่มีมือถือ แต่เวลาที่พวกเราได้เจอกันคือการประชุม เราแอบแข่งขันกันอย่างเงียบๆ จนส่งผลให้เรามีผลงานติดคุณวุฒิ MDC 2 ปีติดต่อ ส่วนตัวผมมีค่านายหน้าในปีที่ 2 เท่ากับ 468,031 บาทและมีรายได้ในปีที่ 3 เท่ากับ 661,938 บาท โดยเฉพาะความภูมิใจของผมคือการพิชิตคุณวุฒิไฟว์แอป ทำได้ 23 เดือนติดต่อกัน (คุณวุฒิไฟว์แอปต้องมีผลงานอนุมัติ 5 รายปี หรือ 4 รายปี 2 พีเอ,ส่วนตัวของผมมีผลงานอนุมัติขั้นต่ำ 5 รายปีและบางเดือนอนุมัติ 8 รายปีหรือมากกว่า)



เมื่อผมตัดสินใจลาออกในต้นเดือนพฤษภาคม 2535 วิถีชีวิตของผมถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการทำงานในบริษัท เอ.ไอ.เอ.ผมยึดมั่นการเข้าประชุมตรงตามเวลา และไม่เคยขาด ผมให้ความร่วมมือกับกิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างเสริมทักษะตนเองให้มีความชำนาญและมีความเชี่ยวชาญในอาชีพ ผมกำลังเข้าสู่ลู่วิ่งแห่งการเดินทางที่ผมกำลังจะสร้างตำนานใหม่ขึ้นมา ผมพร้อมทั้งตัวและหัวใจที่เกิน 100%


"ชีวิตเรา ก้าวไป ในโลกกว้าง

ด้วยความหวัง สิ่งที่ดี ที่สดใส

ตื่นวันนี้ อีกวัน ฝันให้ไกล 

แล้วก้าวไป ให้ถึง ซึ่งเส้นทาง"



ติดตามชีวิตการทำงานปัจจุบันที่
ท่านสามารถเร่ิมต้นการอ่านได้ตั้งแต่บนแรก คลิ๊กลิ้งค์ด้านล่าง
http://www.succession101.blogspot.com
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม

ติดตามตอนต่อไป
http://www.succession104.blogspot.com